“จีน” ผลิต “มหาเศรษฐี” ใหม่ มากกว่า “อเมริกา” 3 เท่า

คัมภีร์เศรษฐี 4.0

วันนี้ (จันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563) ประเทศจีนผลิต “มหาเศรษฐี” ใหม่ มากกว่าสหรัฐอเมริกา 3 เท่า ในรอบปีที่ผ่านมา จากรายงานประจำปี พ.ศ. 2563 การจัดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดของโลก ของสถาบันวิจัยฮูหรุนของจีน โดยส่วนหนึ่งของมหาเศรษฐีใหม่เหล่านี้ รวยหนักขึ้นมากจาก “วิกฤติ” ธุรกิจยารักษาโรค หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และธุรกิจการบันเทิงออนไลน์

มหาเศรษฐี (Billionaire) ตามคำจำกัดความสากล หมายถึงผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิตามประเมินอย่างน้อย 1,000 ล้านสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดเท่ากับ 31,672 ล้านบาท หรือสกุลยูโร (34,395 ล้านบาท) และปอนด์อังกฤษ (41,079 ล้านบาท) แต่ส่วนใหญ่จะยึดหลัก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในรายงาน 2020 Hurun Global Rich List  ประเทศจีน ซึ่งรวมถึงเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งจีนถือเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ มีมหาเศรษฐีใหม่ 182 คน ในรอบ 1 ปีนับถึงวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนสหรัฐมี 59 คน

แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในจีน จะส่งผลกระทบหนักต่อประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก แต่มันก็ทำให้มูลค่าหุ้นของหลายบริษัทออนไลน์ ด้านการศึกษา เกม และยารักษาโรค พุ่งสูงขึ้น
ไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวจีนหลายร้อยล้านคน ต้องเก็บกักตัวอยู่ในบ้าน ซึ่งกรณีนี้ทำให้ความต้องการบริการออนไลน์พุ่งกระฉูด เพิ่มความร่ำรวยให้กับมหาเศรษฐีหลายคนของแผ่นดินใหญ่ เช่น โรบิน หลี่ ของบริษัทไป่ตู้ เสิร์จเอนจิ้นอันดับ 1 ของประเทศ และเว็บไซต์ยอดนิยมอันดับ 4 ของโลก

รูเพิร์ต ฮูชเวิร์ฟ นักการบัญชีชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทฮูหรุน รีพอร์ต กล่าวว่า ล่าสุดจีนมีมหาเศรษฐี รวมทั้งหมด 799 คน มากที่สุดในโลก มากกว่าอันดับ 2 สหรัฐ และอันดับ 3 อินเดียรวมกัน โดยสหรัฐมีทั้งหมด 629 คน ส่วนอินเดีย 137 คน ส่วนอันดับ 4 เยอรมนีมี 122 คน และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร 119 คน

ที่น่าทึ่งคือไทยเรา อยู่อันดับ 9 ของโลก มีมหาเศรษฐี 57 คน เหนือกว่าญี่ปุ่น (อันดับ 11–44 คน) และสิงคโปร์ (อันดับ 15–35 คน)

เจ้าสัวจีนที่เข้าทำเนียบมหาเศรษฐีใหม่ 182 คน ในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึง นายเจิ้ง เสียนเฟิง เจ้าของบริษัทเวชภัณฑ์ “อี้ฟาน ซินฝู ฟาร์มาซูติคอล” และนายเฉิน หยา เจ้าของบริษัทค้าปลีกออนไลน์ “วีไอพีช็อป”

ในรอบ 1 ปีนับถึงวันที่ 31 ม.ค.ปีนี้ หุ้นธุรกิจเทคโนโลยีในจีน พุ่งถึง 77% ส่วนธุรกิจเวชภัณฑ์สูงขึ้น 37% สูงกว่าค่าเฉลี่ยสูงขึ้น 16% ของหุ้นทั่วโลก

แต่มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ในรอบปีที่ผ่านมา ยังคงเป็นชาวอเมริกัน นายเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทค้าปลีกออนไลน์อันดับ 1 ของโลก “อเมซอน ดอท คอม” ซึ่งครองแชมป์ 3 ปีติดต่อกัน โดยปีล่าสุดเบโซส์มีสินทรัพย์สุทธิตามประเมิน 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,434,040 ล้านบาท

อันดับ 2 นายแบร์นาร์ด อาร์โนลด์ชาวฝรั่งเศส เจ้าของบริษัทหลุยส์ วิตตอง (107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อันดับ 3 นายบิล เกตส์ ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ (106,000 ล้านดอลลาร์) อันดับ 4 นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชาวอเมริกัน เจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (102,000 ล้านดอลลาร์) และอันดับ 5 นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ชาวอเมริกัน เจ้าของบริษัทเฟซบุ๊ก (84,000 ล้านดอลลาร์)

ส่วน แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่การตลาดออนไลน์ “อาลีบาบา” อยู่อันดับ 21 ของโลก ด้วยสินทรัพย์ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,425,230 ล้านบาท) โดยชาวเอเชียที่ติดอันดับสูงสุดคือ นายมูเกช อัมบานี ชาวอินเดีย เจ้าของกลุ่มบริษัทรีไลแอนซ์ อยู่อันดับ 9 ของโลก ด้วยจำนวนสินทรัพย์ 67,000 ล้านดอลลาร์ (2,122,000 ล้านบาท)

กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน มีมหาเศรษฐีอยู่อาศัย 110 คน มากที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ตามด้วยนครนิวยอร์ก สหรัฐ 98 คน อันดับ 3 คือเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน 83 คน อันดับ 4 ฮ่องกง 76 คน ส่วนกรุงเทพฯ อยู่อันดับ 8 มี 56 คน.

ข้อมูลอ้างอิง
เลนซ์ซูม (https://www.dailynews.co.th/article/760434)