ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนเมษายน 2568: การวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจ

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ดัชนีราคาผู้ผลิตของประเทศไทยประจำเดือนเมษายน 2568 ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่ามีการหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 3.2% โดยการลดลงนี้เกิดขึ้นในทุกหมวดสินค้าหลัก สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 110.2 ซึ่งการปรับตัวลดลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก ประกอบกับอุปทานส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ ทำให้อุปสงค์ทั้งจากตลาดในประเทศและต่างประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

การวิเคราะห์รายหมวดสินค้า: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา

หมวดผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมง: ลดลง 6.5%

หมวดผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมงปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 6.5% โดยมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่:

สินค้าที่ราคาลดลง:

  • ข้าวเปลือกเจ้า: ราคาลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีฐานราคาสูง
  • อ้อย: ราคาลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกรายสำคัญยกเลิกมาตรการระงับการส่งออก จากฐานราคาปีก่อนที่สูงเป็นผลมาจากภาวะแล้ง
  • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: ราคาลดลงเนื่องจากปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในปีนี้
  • หัวมันสำปะหลังสด: ราคาลดลงอันเนื่องมาจากการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  • ยางพารา: ราคาส่งออกปรับตัวลดลงตามภาวะการค้าโลกที่ไม่แน่นอน
  • พืชผัก (มะนาว พริก กระเทียม): ราคาปรับลดลงเมื่อเทียบกับฐานราคาปีก่อนที่สูงในช่วงที่เกิดภาวะแล้ง
  • โคมีชีวิต: ความต้องการบริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหน้าฟาร์มปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการในหมวดนี้ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่:

สินค้าที่ราคาเพิ่มขึ้น:

  • ข้าวเปลือกเหนียว: ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการบริโภคในประเทศที่สูงขึ้น
  • ผลปาล์มสด: ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตในตลาดโลกมีน้อย ในขณะที่ความต้องการสินค้าเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
  • ผลไม้: ราคาปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
  • สุกรมีชีวิต: ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตในภาพรวมที่ลดลง ประกอบกับความต้องการบริโภคในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น
  • กุ้งแวนนาไม: ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตที่มีน้อยจากต้นทุนการเพาะเลี้ยงที่สูงขึ้น

หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง: ลดลง 3%

หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลง 3% โดยมีการลดลงของราคาสินค้าสำคัญหลายรายการ ได้แก่:

  • น้ำมันปิโตรเลียมดิบและก๊าซธรรมชาติ: ราคาเคลื่อนไหวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดโลก
  • สินแร่โลหะ (แร่เหล็ก สังกะสี): ราคาลดลงจากการชะลอตัวของอุปสงค์และการแข่งขันที่สูงในตลาดโลก
  • ผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากการทำเหมือง (ยิปซัม เกลือ): ราคาลดลงจากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง

หมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม: ลดลง 2.8%

หมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 2.8% โดยมีกลุ่มสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่:

กลุ่มสินค้าที่ราคาลดลง:

  • ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม: เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา น้ำมันก๊าด ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ราคาปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาในตลาดโลก
  • กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี: เช่น เม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้น เอทานอล สารพอลิเมอร์และสารเคมีอินทรีย์อื่นๆ ปุ๋ยเคมี และยางสังเคราะห์ ราคาปรับลดลงตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง
  • กลุ่มโลหะขั้นมูลฐาน: เช่น เหล็กแท่ง เหล็กแผ่น ท่อเหล็กกล้า เหล็กเส้น เหล็กฉาก เหล็กรูปตัวซี ราคาปรับลดลงตามวัตถุดิบที่ปรับลดลง การแข่งขันและอุปสงค์ที่ชะลอตัว
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์: เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำและวงจรรวม (IC) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์รับข้อมูล/แสดงผล ราคาปรับลดลงตามอุปสงค์ที่ชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มสินค้าบางรายการในหมวดนี้ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่:

กลุ่มสินค้าที่ราคาเพิ่มขึ้น:

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ: เช่น ทองคำ ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของตลาดโลก
  • กลุ่มยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์: เช่น รถกระบะ รถบรรทุกขนาดเล็กและรถบรรทุกขนาดใหญ่ ราคาปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ
  • กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า: เช่น สายไฟ สายเคเบิล ราคาปรับเพิ่มขึ้นตามวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแร่อโลหะ: เช่น อิฐก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ ซีเมนต์ผสม ราคาปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณอุปสงค์การก่อสร้างในประเทศที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพฤษภาคม 2568: ปัจจัยกดดันและปัจจัยสนับสนุน

สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่าจะทรงตัวหรืออาจหดตัวเล็กน้อย โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญหลายประการ ได้แก่:

ปัจจัยกดดัน:

  1. การระบายสินค้าอุปทานส่วนเกิน: สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมีแนวโน้มเข้ามาเพิ่มขึ้นจากการระบายสินค้าอุปทานส่วนเกินของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งจะกดดันราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศ
  2. การแข่งขันในตลาดส่งออกสินค้าเกษตร: การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดผู้ส่งออกสินค้าเกษตรจะส่งผลกดดันราคาผลผลิตทางการเกษตรในภาพรวมต่อเนื่อง
  3. ราคาพลังงาน: ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าในหลายภาคส่วน
  4. การแข่งขันด้านราคา: ผู้ผลิตสินค้าทุนในประเทศต้องลดราคาเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในห่วงโซ่อุปทาน
  5. ค่าเงินบาท: ค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่าจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก

ในขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญที่อาจช่วยพยุงราคาสินค้าไม่ให้ลดลงมากเกินไป ได้แก่:

ปัจจัยสนับสนุน:

  • มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ: มาตรการช่วยเหลือราคาผลผลิตทางการเกษตรของภาครัฐจะช่วยประคับประคองราคาสินค้าเกษตรบางรายการไม่ให้ตกต่ำลงมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่:

  • มาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา: มาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าของไทยรวมถึงประเทศคู่ค้าสำคัญ ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในทิศทางใด จึงจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนเมษายน 2568 ปรับตัวลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญ และคำสั่งซื้อจากตลาดปลายทางที่ลดลงในภาพรวม

ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงควรมีมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทยภายใต้ภาวะการค้าในตลาดโลกที่มีความผันผวน ทั้งนี้ อาจพิจารณาดำเนินการในหลายมิติ เช่น:

  1. การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต: สนับสนุนให้ผู้ผลิตในประเทศปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
  2. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา: เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทย
  3. การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศ: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันเพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ
  4. การพัฒนาตลาดภายในประเทศ: เร่งพัฒนาและขยายตลาดภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและสร้างความมั่นคงให้กับผู้ผลิตไทย
  5. การปรับปรุงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ: ทบทวนและปรับปรุงมาตรการสนับสนุนต่างๆ จากภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของผู้ผลิตมากขึ้น

การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ผลิตไทยสามารถรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกได้ดีขึ้น และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนของการค้าโลกก็ตาม