นายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ กล่าวว่า ”เทคโนโลยีการสื่อสารถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ต้องการความรวดเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างราบรื่น ลงทุนต่ำและมีผลิตภาพเพิ่มขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ดีแทคจะให้ทุกธุรกิจก้าวผ่านอุปสรรคและประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้นั้น ไม่ใช่มีเพียงบริการวอยซ์หรือดาต้าเท่านั้น แต่ดีแทคมุ่งมั่นสรรหาโซลูชั่นต่างๆ ที่จะเข้ามาทำให้ธุรกิจต่างๆ เติบโตในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีได้”
นายราจีฟ กล่าวเสริมว่า ดีแทคมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและช่วยสร้างการเติบโตให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจทุกราย เพื่อก้าวสู่การเติบโตอย่างมั่นคั่งและยั่งยืนด้วยหลักพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ ความไว้วางใจ(Trust) ความง่าย (Simplicity) ความซื่อตรง (Honesty)
ทั้งนี้ ดีแทคได้แบ่งกลุ่มสินค้าสำหรับบริการกลุ่มธุรกิจ (B2B) เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
1. แพ็กเกจที่คุ้มค่ากว่า (Mobile solutions)
เพราะการสื่อสารเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะยุคดิจิทัล พฤติกรรมลูกค้าโกออนไลน์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ดีแทคจึงได้จัดแพ็คเก็จโทรศัพท์สำหรับกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะ ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจสามารถบริหารค่าโทรและอินเทอร์เน็คได้อย่างคุ้มค่า ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น สนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจไม่ว่าเป็น SMEs หรือบริษัทขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายและเติบโตอย่างยั่งยืน
2. สื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพผ่านข้อความสั้น (Mobile marketing)
นับเป็นอาวุธอันทรงพลังในการสื่อสารแบบระบุตำแหน่ง (Location-based communication) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมาย พื้นที่หรือช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณที่ต่ำกว่า
3. สื่อสารออนไลน์อย่างราบรื่นด้วยอินเทร์เน็ตคุณภาพสูง(Connectivity)
การมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ดีแทคจึงได้ให้บริการ IPLC ซึ่งเป็นโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใช้สำหรับลูกค้าองค์กรบนโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกส่วนตัว ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด มีความปลอดภัยสูง ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพทั้งในและต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลลูกค้าระหว่างสำนักงาน การประชุมผ่านทางไกล หรือกิจกรรมในการสื่อสารอื่นๆ และด้วยการผนึกพันธมิตรกับเทเลนอร์ (Telenor) กลุ่มผู้ให้บริการเทคโนโลยีการสื่อสารระดับโลก ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการระดับภูมิภาค จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ดีแทคพร้อมให้บริการได้ในระดับภูมิภาค ครบ จบที่เดียว ด้วยโครงข่ายที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือตามมาตรฐานสากล
4. บริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Mobile Solution)
ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยอย่าง M2M และ IoT ทำให้อุปกรณ์ IoT ในอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถรับและส่งข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ดีแทคจึงได้ออกแบบซิม IoT พร้อมด้วยโซลูชัน Connectivity Management Platform ที่สามารถจัดการและรองรับการใช้งานของอุปกรณ์ IoT
โดยเสมือนเป็นแพลทฟอร์มกลางสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้สามารถควบคุมการทำงานได้เพียงปลายนิ้วคลิก เชื่อมต่อทุกการใช้งานอย่างไม่มีสะดุด สามารถใช้งานได้ในหลายหลายอุตสาหกรรมทั้งระบบตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ เกษตรอัจฉริยะ ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ ฯลฯ
5. คลาวด์โซลูชั่น ทำงานที่ไหนก็เหมือนนั่งในออฟฟิศ (New Solutions)
ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลได้ปลดแอกภูมิทัศน์ของการทำงาน ทำให้การเข้าถึงข้อมูลบริษัทสามารถเกิดขึ้นที่ใดก็ได้บนโลกนี้เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยี “คลาวด์” (Cloud Computing) เพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการทำงาน เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเครือขายปกติถึง 8-10 เท่า มั่นใจได้ว่าข้อมูลไม่รั่วไหลด้วยระบบรักษาความปลอดภัยถึง 5 ชั้น เทียบเท่ากับมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพสหรัฐอเมริกาและยังสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการคลาวด์ทุกรายได้อย่างง่ายดาย เช่น AWS, Azure, Google Cloud, Ali Cloud ฯลฯ
“จะเห็นว่าเทคโนโลยีการสื่อสารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในยุคดิจิทัล ทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ‘ความเร็ว’ ในการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัฐอันดับต้นๆ เพื่อให้ก้าวทันต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงขึ้น ซึ่งดีแทคมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลุกค้าไว้วางใจ (Trusted partner) ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กใหญ่ขนาดใดก็ตาม เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อข้ามผ่านทุกความท้าทาย” นายราจีฟ กล่าว… อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/it/764965