ฝ่าวิกฤตชีวิต จากส้มตำข้างทาง  ผุดเกิด 22 สาขา ภายปีเดียว

คัมภีร์เศรษฐี 4.0

จุดเริ่มต้นมาจากพนักงานแบงค์ท่านหนึ่ง ได้ลาออกจากงานธนาคาร มาเปิดธุรกิจของตัวเอง นั่นคือการเปิดร้านส้มตำ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะคิดสูตรน้ำปลาร้านเป็นของตนเอง โดยเริ่มแรกที่เปิดร้านนั้น มีเพียงแค่ 4 โต๊ะเท่านั้น โดยมีค่าเช่าที่เดือนละ 3,000 บาท สามารถขายได้กำไรวันละ 1,000 – 1,500 บาท โดยยังไม่มีคนงาน แรก ๆ เหมือนว่ากิจการกำลังจะไปได้ดี แต่คุณแม่ต้องล้างจานจนมือเปื่อยทุกวัน ทนเห็นแม่เหนื่อยไม่ไหว จึงตัดสินใจปิดร้าน

หลังจากที่ปิดร้านส้มตำไป แม่กลับสกลนคร และด้วยความที่แม่คิดถึงพ่อ ตนเองเห็นจึงทนไม่ไหว เลยฮึดสู้เปิดร้านส้มตำใหม่อีกครั้งในปี 2560 แต่คราวนี้มาเปิดที่กรุงเทพฯ มาสำรวจทำเลย ตั้งใจทำร้านให้ดี วางแผนงานให้เป็นระบบมากขึ้น ประกอบกับตนเองมีฝีมือในการทำน้ำปลาร้าน และนำเมนูอีกสานที่พ่อเคยทำให้กินตอนเด็ก ๆ นำมาปรับปรุงเพิ่ม และยังเพิ่มความหลากหลายของเมนูให้มากขึ้น จากนั้นกิจการค่อย ๆ ดีขึ้น

โดยการลงทุนในครั้งแรกนั้น ลงทุนแบบหมดหน้าตักกันเลยทีเดียว 5 แสนบาท ซึ่งจุดเด่นของร้านคือ น้ำปลาร้าทำเอง ใช้ปลาจาก 3 จังหวัด มีทั้งกลิ่นหอม รสชาติอร่อย มีความสะอาด ในทุก ๆ เมนูอาหารอีสาน อย่างเช่น ข้าวจี่ นำมาดัดแปลงใหม่ เป็นข้าวเนียวทอด และเป็นอาหารอีสานฟิวชั่นต่าง ๆ

ซึ่งทางร้านจะเน้นการใช้วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ ของสดใช้วันต่อวัน ไม่มีการเก็บสต๊อกไว้ น้ำจิ้มต้องปั่นใหม่ทุกวัน ซึ่งดูเผิน ๆ แล้ว อาจเป็นแค่ส้มตำร้านริมทางทั่วไป แต่มันเต็มไปด้วยเคล็ดลับความอร่อยต่าง ๆ อีกมากมาย ในการเสิร์ฟอาหารอีสานฟิวชั่น โดยใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล เพื่อความสดใหม่ อาทิเช่น ปูไข่ และไข่มดแดงเป็นต้น

นอกจากน้ำปลาร้าที่ทำเองกับมือแล้วนั้น เธอยังเผยเคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างหนึ่งคือ ใช้น้ำตาลมะพร้าวอย่างดี แทนน้ำตาลทราย ปลาแซลมอน ใช้แซลมอนนอร์เวย์ หมูยอ มาจากเจ้าประจำที่จังหวัดอุบลฯ และอีกหลาย ๆ เมนู ที่ได้มาจากพ่อ ที่เคยทำให้กินในวัยเยาว์

จากความมุ่งมั่นและตั้งใจ ส่งผลให้ลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดี จากยอดขายวันละ 400 บาท ขยับขึ้นมาเป็นวันละ 2,000 บาท มาถึงวันละ 40,000 บาท และยังเคยทะลุถึงเดือนละ 3 แสนบาทเลยทีเดียว จากนั้นเริ่มมีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์  ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดร้านนั้น ลูกค้าที่เข้ามาต่างบอกแบบปากต่อปาก จนร้านเริ่มมีชื่อเสียง ทีนี้มีทั้งผู้คนจากทั่วสารทิศพากันมาชิม จนมาถึงปี 2562 มีลูกค้าติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ เลยได้เริ่มขายแฟรนไชส์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่เธอกล้าขยายธุรกิจด้วยระบบนี้ เพราะว่าหัวใจสำคัญอยู่ที่ “น้ำปลาร้า” และ “หมูยอ” ที่ทางแฟรนไชส์ต้องรับไปจากทางเรา ซึ่งหากใครนำไปปรุงอาหาร อาหารนั้นรับรองได้ว่าอร่อยแน่นอน